ดื้อยา-บ้าเพลง "เสียงดิบจาก Alternative เสพติดความแตกต่าง"
“ดนตรี Alternative นี่เจ๋งจริง ๆ เลยนะ!”
มันโดดเด่นตรงที่หลุดกรอบ ไม่ยึดติดกับอะไรเดิม ๆ เพราะมันเต็มไปด้วยความหลากหลายและการทดลองแบบไร้ขีดจำกัด จะผสมผสานแนวดนตรียังไงก็ได้ตามใจศิลปิน แถมยังมีเสียงเฉพาะตัว เนื้อหาลึกซึ้งสะกิดใจ บางทีก็สะท้อนเรื่องสังคม วัฒนธรรม หรือความรู้สึกที่คนฟังอินสุด ๆ
ศิลปินสายนี้เขาไม่กลัวที่จะคิดต่าง และนั่นแหละที่ทำให้ Alternative เป็นอะไรที่มีเอกลักษณ์แบบไม่มีใครเหมือน เพลงพวกนี้ไม่ใช่แค่เสียงดนตรี แต่มันคือการแสดงออกที่อิสระสุด ๆ และต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน แนวนี้ก็ยังทรงอิทธิพลและสำคัญในวงการดนตรีทั่วโลกเสมอ
"ดนตรีก็เหมือนกับชีวิตแหละ!"
มันเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและความรู้สึกของคนฟังเสมอ ตั้งแต่ช่วง Post-punk กับ New Wave ที่บุกเบิกเส้นทางใหม่ๆ มาจนถึงยุค Grunge และ Indie Rock ใน 90s ที่พาแนวนี้ขึ้นแท่นกระแสหลัก ทุกวันนี้ Alternative ก็ยังคงพัฒนาแบบไม่มีกรอบ ผสมผสานหลากหลายสไตล์จนเกิดเสียงใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใคร นี่แหละ เสน่ห์ของมัน คือความกล้าลอง กล้าต่าง ทำให้มันยังคงเป็นแนวเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลในวงการเสมอ
ช่วงก่อนปี 1980s “รากฐานและอิทธิพล”
"ก่อนที่ Alternative จะพุ่งแรงในยุค 90s จริงๆ แนวเพลงนี้มีรากจาก Post-punk กับ New Wave ตั้งแต่ช่วงปลาย 70s ถึงต้น 80s เลยนะ”
Post-punk นี่เหมือนเป็นการตอบสนองต่อ Punk แบบเดิมๆ ที่เน้นแรงและดิบ แต่มันเพิ่มความซับซ้อนและกล้าทดลองมากขึ้น วงอย่าง Joy Division, Talking Heads หรือ The Cure นี่แหละที่ปูทางให้ Alternative ในอนาคต
ส่วน New Wave ก็มาพร้อมจังหวะเฉพาะตัวและการใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงเจ๋งๆ ซึ่งวงอย่าง Depeche Mode กับ Blondie ก็ถือว่าเด่นมาก บอกเลยว่าทั้งสองแนวนี้คือแรงบันดาลใจใหญ่ให้ Alternative กลายเป็นตำนานอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้
ทศวรรษ 1980s “เริ่มต้นของ Alternative Rock”
ช่วงกลางถึงปลาย 80s นี่แหละที่ Alternative Rock เริ่มฉายแววชัดเจน วงดนตรีในแนวนี้เริ่มเบี่ยงจากดนตรีกระแสหลักที่มันดูซ้ำไปซ้ำมา แล้วหันมาสร้างเสียงที่แปลกใหม่กว่าเดิม
วงอย่าง R.E.M., The Smiths, กับ Sonic Youth นี่คือไอคอนของยุคนั้นเลย พวกเขากล้าทดลองเสียง มีเนื้อหาที่ลึก และไม่ยึดติดกับมาตรฐานดนตรีกระแสหลักแบบเดิมๆ
R.E.M. นี่ตัวจริงเลย เป็นวงที่คนพูดถึงเยอะมาก เพราะดนตรีของพวกเขาโคตรอิสระ แถมยังสื่อสารทั้งเรื่องสังคมและอารมณ์ได้ลึกซึ้งสุดๆ ถ้าพูดถึง Alternative ยุคนั้น ชื่อพวกเขานี่ต้องมาเป็นอันดับต้นๆ!
ทศวรรษ 1990s “ยุคทองของ Alternative Rock”
ในยุค 90s นี่แหละที่เพลง Alternative พุ่งขึ้นมาเป็นกระแสหลักแบบเต็มตัว วงดังๆ จากแนว Grunge, Indie Rock, และ Britpop ก็ทยอยแจ้งเกิดกันรัวๆ
Grunge คือหนึ่งในแนวที่มาแรงสุดๆ มันเป็นการผสมผสานระหว่าง Alternative Rock กับ Punk Rock เสียงก็จะหยาบๆ ดิบๆ เนื้อเพลงนี่ดาร์กแบบเข้าถึงอารมณ์สุดๆ วงระดับตำนานก็ต้องยกให้ Nirvana, Pearl Jam, Soundgarden, กับ Alice in Chains
Indie Rock ก็มาแบบเงียบๆ แต่ทรงพลัง เป็นแนวที่ศิลปินทำเพลงอิสระจากค่ายใหญ่ สร้างงานคุณภาพแบบจัดเต็ม วงอย่าง Pavement, The Smashing Pumpkins, และ Radiohead คือไอคอนของแนวนี้เลย
Britpop ในฝั่งอังกฤษก็มาปังไม่แพ้กัน ผสมกลิ่น Pop Rock กับ Alternative ได้แบบลงตัว วงดังๆ อย่าง Oasis, Blur, และ Pulp ก็สร้างเพลงที่ทั้งเพราะทั้งติดหูจนกลายเป็นตำนานของยุคนี้ไปแล้ว
“ยุคนั้นบอกเลยว่า Alternative คือราชาแห่งวงการจริงๆ!"
ทศวรรษ 2000s “การทดลองและการเปลี่ยนแปลง”
"หลังจากยุคทองของ 90s ผ่านไป พอเข้าสู่ 2000s เพลง Alternative ก็เริ่มขยับไปในหลายทางมากขึ้น ผสมกับแนวดนตรีอื่นๆ อย่าง Electronic, Post-Rock, หรือแม้แต่ Folk จนกลายเป็นอะไรที่หลากหลายกว่าเดิม
วงอย่าง The White Stripes, Arcade Fire, กับ Interpol ยังคงความเป็น Alternative ได้แบบอยู่หมัด แต่ก็เติมสไตล์ใหม่ๆ เข้าไป เช่น Garage Rock Revival หรือ Indie Rock ที่เสียงดูสะอาดและมีมิติการทดลองเพิ่มขึ้น
ช่วงนี้เอง ศิลปินเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นของเล่นใหม่ที่เพิ่มสีสันให้กับเพลง วงอย่าง Tame Impala, MGMT, หรือ LCD Soundsystem ก็ใช้สิ่งนี้สร้างเสียงที่ไม่เหมือนใคร บอกเลยว่านี่คือยุคที่ Alternative เปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์แบบไม่มีขอบเขต!"
ทศวรรษ 2010s - ปัจจุบัน “ความหลากหลายและการผสมผสาน”
"มาถึงยุคนี้ เพลง Alternative ยิ่งหลากหลายและเปิดกว้างสุดๆ เพราะมีการผสมแนวดนตรีอื่นๆ เข้าไปเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Electronic, Hip-Hop, Pop, Punk, หรือแม้แต่ R&B มันเลยกลายเป็นสไตล์ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน
วงอย่าง Tame Impala กับ The 1975 นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจน พวกเขาผสมเสียง Indie Rock เข้ากับ Pop ได้แบบลื่นไหล ยังมีความเป็น Alternative อยู่เต็มเปี่ยม แต่ก็เข้าถึงผู้ฟังวงกว้างได้แบบสบายๆ
แล้วพอพูดถึงช่วง 2010s แนว Indie Pop กับ Indie Folk ก็มาแรงมาก ศิลปินอย่าง Lorde, Vampire Weekend, หรือ Florence + The Machine นี่แหละคือคนที่พา Alternative ไปเจอกับความสดใหม่ในแนวทางของตัวเอง ฟังแล้วบอกเลยว่าไม่ธรรมดา!"
ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหน ! ! ! EGGBOX MUSIC สอนทุกรูปแบบ
ตั้งแต่กีต้าร์คลาสสิคไปจนถึงแนว Alternative ที่คุณชอบ!
เรามีเทคนิคและวิธีการเล่นที่ช่วยให้คุณพัฒนาไปในทุกๆ แนวทาง!
ร่วมเรียนรู้ทั้งทฤษฎีและการเล่นที่เป็นอิสระ…มาเริ่มต้นกันเลย !
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น